“ทุกคนมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติ และชีวิตของเราจะก้าวหน้าไปได้ไกลสุด ถ้าเราโฟกัสที่การพัฒนาการใช้จุดแข็งของเราให้มากขึ้น ไม่ใช่พยายามลดจุดอ่อนให้น้อยลง”
นี่คือ ปรัชญาพื้นฐานของ Strengthsfinder
ดูเผินๆ ก็น่าจะเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง แต่ผมคิดว่า เป็นข้อสรุปที่ง่ายเกินไป (over-simplified)
เพราะในความเป็นจริง มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ลักษณะงาน ตำแหน่งงาน ลักษณะของจุดแข็ง และจุดอ่อน ฯลฯ ด้วย
เช่น ถ้าคุณอยู่ในตำแหน่งพนักงานเริ่มต้น ที่เน้นงานด้าน technical ตามสายงาน คุณอาจนำจุดแข็งมาใช้ในงาน ถ้ามันสอดคล้องกับลักษณะของงานนั้น จนส่งผลให้คณมีผลงานที่โดดเด่นได้
เช่น
Analytical ในงานที่ต้องใช้การวิเคราะห์เป็นหลักเช่น เจ้าหน้าที่สินเชื่อ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์/การเงิน การประเมินความเสี่ยง ฯลฯ
Empathy ในงานที่ต้องใช้ความเข้าอกเ้ข้าใจผู้อื่นเป็นหลัก เช่น งานบริการ Call center, Customer service, งานประชาสัมพันธ์ ฯลฯ
แต่เมื่อคุณได้รับการโปรโมตเป็น หัวหน้างาน ทักษะอื่นๆ โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวกับการบริหาร สื่อสาร และตัดสินใจ อาจมีความสำคัญยิ่งกว่า จุดแข็งหรือพรสวรรค์ที่คุณเคยใช้พาคุณมาถึงจุดนี้
ลองนึกภาพดูว่า ถ้าสิ่งเหล่านั้น เป็นจุดอ่อนของคุณ และคุณไม่สนใจพัฒนา ผลจะเป็นอย่างไร
เช่น
- มีจุดแข็ง เรื่องการวิเคราะห์ แต่มีจุดอ่อน ด้านการปรับตัว และด้านเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ซึ่งจำเป็นมากต่อการบริหารลูกน้อง
- มีจุดแข็งด้านการเข้าอกเข้าใจคนอื่น แต่มีจุดอ่อนด้าน Achiever การสั่งการ การตัดสินใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของหัวหน้างาน
- ฯลฯ
ที่จริง นี่เป็นสิ่งที่เราพบเห็นบ่อยๆ คือ คนที่ทำงานเฉพาะด้านของตนได้ดี แต่เมื่อมาเป็นหัวหน้างาน กลับล้มเหลวอย่างมาก ดังคำกล่าวที่ว่า “เสียพนักงานที่ดีไปคนหนึ่ง ได้หัวหน้าที่เลวมาคนหนึ่ง
“หนังสือ ปั้นคนให้เก่งคน บทที่ 4 เรื่อง การพัฒนาภาวะผู้นำ ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงมากๆ ข้อหนึ่งว่า “จุดแข็งที่ผู้นำใช้มากไป จะกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ผู้นำนั้้นประสบความล้มเหลวได้”
ขอยกตัวอย่างของผู้นำที่มี Achiever เป็นจุดแข็งมากที่สุด ซึ่งถ้าดูจากนิยามของ Strengthsfinder น่าจะตรงกับผู้นำสไตล์เอ็นเนียแกรมที่ 3 มากที่สุด และเป็นฉายาของผู้นำสไตล์นี้ด้วย
คนสไตล์สามในเอ็นเนียแกรม มี Mindset ในเรื่องของการเป็นผู้นำว่า
“หน้าที่ของผู้นำคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่นำมาซึ่งผลสำเร็จ เพราะทุกคนเข้าใจเป้าหมายและโครงสร้างขององค์กรดีอยู่แล้ว”
จาก Mindset นี้ ทำให้ผู้นำมุ่งพัฒนาพรสวรรค์ และจุดแข็งต่างๆ ดังตาราง
และเมื่อใช้จุดแข็งที่มีมากเกินไป สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ
“ผู้นำสไตล์สามทุ่มเทความพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ เขาอาจจดจ่อกับการทำงานมากเกินไปจนส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตในด้านอื่น ๆ รวมถึงเรื่องความรู้สึกของตนเองและของคนรอบข้างด้วย”
ขอใช้ต้วอย่างจากหนังสือมาอธิบายให้เห็นภาพชัดๆ ดังนี้
ผู้นำสไตล์สามมักประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาสั่งสมประสบการณ์จนสามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่า เขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในแต่ละสถานการณ์ แล้วเขาจะปรับเปลี่ยนบุคลิกและพฤติกรรมให้เป็นไปตามนั้น ด้วยความที่เป็นคนกระตือรือร้นและเน้นเป้าหมาย เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และมองหาการยอมรับในผลงานของตน ผู้นำสไตล์สามเน้นการทำงานเป็นอย่างมากจนไม่เหลือเวลาให้กับการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนอย่างมีความสุข การได้อยู่กับเพื่อน ๆ หรืออยู่กับความรู้สึกของตนเอง
เนื่องจากสไตล์สามตามเอ็นเนียแกรมอยู่ในศูนย์ใจหรือศูนย์อารมณ์ บางคนอาจสงสัยว่าทำไมผู้นำสไตล์สามจึงดูเหมือนว่าจะไม่สามารถจัดการกับเรื่องความรู้สึกได้ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของตนเองหรือของผู้อื่น จริง ๆ แล้วคนสไตล์นี้อาจสนใจเรื่องอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นเหมือนกัน แต่ก็ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้ตนเองเป็นที่ยอมรับนับถือของคนเหล่านั้น แม้ว่าผู้นำสไตล์สามหลายคนจะตระหนักถึงความรู้สึกของตนเอง แต่พวกเขาก็มักไม่ชอบเสียเวลาคิดหรือบอกเล่าความรู้สึกนั้นกับผู้อื่นมากนัก เขาจะจัดการกับความรู้สึกในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น จากนั้นก็จะกลับไปทำงานต่อ บางคนอาจสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังมีความรู้สึกบางอย่าง แต่กลับไม่สามารถแยกแยะว่าเป็นความรู้สึกอะไรกันแน่ นั่นเป็นเพราะเขาขาดความสนใจและไม่เคยฝึกฝน คนสไตล์สามชอบที่จะ “ทำ” มากกว่าที่จะ “รู้สึก”
ที่จริงผู้นำสไตล์สามก็ชอบความรู้สึกในด้านบวกเช่นกัน (ตราบใดที่มันไม่ได้มากจนเกินไป) เพราะมันช่วยส่งเสริมทัศนคติแบบ “ทำได้” ของเขา แต่ความรู้สึกต่างๆ ย่อมมีทั้งที่เป็นบวกและเป็นลบ ที่เป็นลบนั้นย่อมขัดกับการมองโลกในแง่ดีในแบบฉบับของผู้นำสไตล์สาม ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ของตนเองหรือของผู้อื่นก็ตาม ความโกรธ ความเศร้า และความกลัวเกี่ยวพันกับสิ่งที่ผู้นำสไตล์สามต้องการหลีกเลี่ยงมากที่สุด…ซึ่งได้แก่ความล้มเหลวนั่นเอง
หากคุณถามผู้นำสไตล์สามว่าเคยล้มเหลวหรือไม่ เขาก็อาจทำหน้างง ๆ เหมือนไม่เข้าใจคำถาม หรือไม่ก็อาจถามกลับว่า “ความล้มเหลวของคุณหมายความว่าอย่างไร” แต่ถ้าเขาจะยอมรับว่าเคย เขาก็มักจะเลี่ยงไปใช้คำอื่นเช่น เช่น เขาอาจบอกว่าเป็น “ประสบการณ์ที่ทำให้ได้เรียนรู้” ซึ่งเป็นการใช้ภาษาเพื่อปรับเปลี่ยนเหตุการณ์อันเจ็บปวดและน่าอับอายให้ดูดีขึ้น แต่คำพูดนี้ก็มีความจริงอยู่ด้วย เพราะผู้นำสไตล์สามจะเรียนรู้จากความผิดพลาด และพยายามที่จะไม่ทำผิดซ้ำเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง
เมื่อผู้นำสไตล์สามรู้สึกว่ากำลังถูกกดดันหรือเป็นกังวลอย่างมาก เขาก็จะหยุดพักชั่วคราวแล้วหันไปทำอะไรที่จะช่วยให้ลืมความกังวล (สไตล์สามเปลี่ยนไปเป็นสไตล์เก้าเวลาที่รู้สึกเครียด) ในยามที่ไม่หักโหมจนเกินไป ผู้นำสไตล์สามก็จะใช้เวลาเพื่อคิดและทบทวนเกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจผู้คน ความคิด หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ (สไตล์สามเปลี่ยนไปเป็นสไตล์หกเวลาที่รู้สึกสบายใจ)
ตัวอย่างเพิ่มเติมจากผู้นำอีกสองสไตล์คือ 1 และ 2 ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึง Mindset ของผู้นำ ที่ก่อเกิดมาเป็นจุดแข็ง และกลายเป็นจุดอ่อนเมื่อใช้จุดแข็งเหล่านั้นมากไป
ถ้าท่านทำงานในองค์กร ก็จะเห็นตัวอย่างจากผู้จัดการ หรือหัวหน้างานมากมาย ที่ใช้จุดแข็งที่มีมากเกินไป จนกลายเป็นจุดอ่อน และถ้าไม่พยายามแก้ไขจุดอ่อนเหล่านั้น ก็อาจประสบความล้มเหลวได้
ความรู้เอ็นเนียแกรม อธิบายให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้นำแต่ละสไตล์ มีจุดแข็งอะไร และยังให้แนวทางให้การพัฒนาตัวเอง เพื่อลดจุดอ่อน ไม่ให้ส่งผลเสีย ต่อภาวะผู้นำของตนได้
วิทยากร
อ. วาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช (CPA, MBA, MA)
- MD บ. สยามเอ็นเนียแกรม คอลซัลติ้ง จำกัด
- Certified Enneagram Trainer, Accredited Enneagram Teacher (IEA)
- Certified MBTI Practitioner
- ประสบการณ์ในบริษัทต่างๆ 20 ปี
(ตำแหน่งสุดท้าย Finance & HR Director – Bisnews AFE) - นำการสัมมนาหลักสูตร เอ็นเนียแกรม ให้กับองค์กรต่างๆ มากกว่า 600 รุ่น
- แปลหนังสือเอ็นเนียแกรม และอื่นๆ รวม 14 เล่ม