“เธออยากจะอยู่กับสำนึกผิดติดตัว ก็ตามใจ”
ครั้งแรกที่ผมได้ยินคำพูดนี้ ก็ตอนเรียนอยู่ประถมหนึ่ง ในใจตอนนั้นคิดว่า เป็นคำพูดที่โง่มาก
เพราะผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นเลยสักนิด และไม่มีวันที่จะรู้สึกด้วย
ครูพูดใส่ผมแบบนั้น ก็เพราะผมแอบเอาสีเทียนไปโยนทิ้งในโถส้วม
แต่ผมก็เถียงครูคอเป็นเอ็นว่า ผมเปล่า ผมเปล่า
ไม่แปลกเลยที่ผมจะไม่ได้สำนึกเสียใจอะไรกับเรื่องแค่นั้น แต่ที่งงมากคือ
ทำไมครูถึงคิดว่า ผมจะต้องสำนึกผิด ละอายใจอะไรด้วย
สิ่งสำคัญในชีวิตของผมไม่ใช่เรื่องการมีเกียรติ ความซื่อสัตย์ หรือแม้แต่เรื่องเงินทอง
แต่ผมต้องการให้ตัวเองดูดีและให้คนนับถืออย่างที่ควร
ตอนเป็นเด็ก ผมรู้จักตีหน้าเศร้า ทำคอตก แล้วก็แสดงท่าทางให้เหมือนกับคนที่สำนึกผิด รู้สึกเสียใจ
แต่เชื่อมั้ยว่า ในใจผมไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นเลยจริงๆ
ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ ถ้ามีใครพลอยซวยเพราะถูกทำโทษจากเรื่องที่ผมก่อขึ้น
แต่ผมจะงงมากถ้าจู่ๆ มีคนสารภาพออกมาว่า ตัวเองเป็นคนทำ เพียงเพราะเขาทนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองไม่ได้
พวกเพื่อนๆ ต่างมีความรู้สึกที่ว่านี้ แต่ผมกลับรู้สึกเลือดสูบฉีดและสนุกกับการทำผิด
มันช่างเข้ากันได้ดีกับภาพลักษณ์แบบนักเลงอันธพาลที่ผมชอบแสดงให้คนเห็น
และทุกครั้ง ผมก็มักจะเอาเรื่องที่ผมทำไปเล่าให้พรรคพวกฟัง แถมคุยโม้ให้เกินจริงเสียด้วย
ผมคิดว่า ถ้าผมทำเรื่องพวกนั้นแล้วไม่มีคนรู้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
พอเริ่มเป็นวัยรุ่น การไม่รู้สำนึกผิดกับอะไรเลย รวมถึงความอยากดังในทางเลวร้ายนี้ก็ปรากฏออกมาเป็นพฤติกรรมต่างๆ
ผมสามารถเปลี่ยนความคิดความเชื่อของตัวเองเพื่อทำให้คนอื่นประทับใจ
ผมขโมยของของเพื่อน โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย
และถ้ามีใครทำให้ผมไม่พอใจ ผมก็จะเอาคืนอย่างสาสม
ครั้งหนึ่ง ผมไปบ้านของไมค์ เพื่อนคนหนึ่ง เพื่อช่วยเขาซ่อมรถ ใช้เวลานานถึง 5 ชั่วโมง พออีก 10 นาทีก่อนจะเสร็จ เพื่อนอีกคนก็มาหา
หลังจากซ่อมเสร็จเรียบร้อยผมก็เข้าไปล้างหน้าล้างตัวในบ้าน แต่พอเดินกลับออกมา สองคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว
พวกเขาเอารถที่ผมเป็นคนซ่อมไปลองขับดูโดยทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว ผมรู้สึกเหมือนถูกแทงข้างหลัง ผมก็เลยเอามีดพกที่ติดตัวไปแทงเตียงน้ำของเขาเพื่อเอาคืน
คืนนั้นตอนที่ไมค์เข้านอน คงต้องรู้สึกงงมากแน่ๆ แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นฝีมือผม
ไมค์ต้องทนนอนบนโซฟานานทีเดียวกว่าจะหาเงินซื้อเตียงตัวใหม่ได้
แต่ผมรู้สึกว่าได้แก้แค้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ผมเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนอีกสองสามคนฟัง
ถ้าเป็นเรื่องผู้หญิง ผมสามารถจีบผู้หญิง 3 คนในเวลาเดียวกัน แล้วก็โกหกพวกเธอทุกคนเลย
ผมรู้สึกชอบมากถ้าพวกเธอไม่รู้ว่าถูกผมหลอก
แต่ถ้าถูกจับได้ เช่น ถ้าสองคนในนั้นบังเอิญคุยกันจนรู้ความจริงแล้วจะมาเอาเรื่องผม
ผมก็จะหัวเราะเยาะแล้วบอกว่า ก็พวกเธอมันโง่เอง
แต่ถ้าเกิดพวกเธอเอาเรื่องนี้ไปบอกกับอีกคน ผมก็จะแก้แค้น
แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปคุยโม้กับใครก็ได้ที่อยากฟัง
แน่นอนว่า ผมต้องเสริมแต่งเรื่องราวให้ตัวเองเป็นเหมือน “ดอนฮวน” เทพบุตรนักรักด้วย
ในที่ทำงาน ผมแก้แค้นหัวหน้าทุกคนมาตลอด เริ่มตั้งแต่งานแรกที่ทำตอนอายุ 15 จนถึงงานสุดท้ายตลอด 9 ปี ก่อนที่ผมจะออกมาทำงานอิสระ
เช่นครั้งหนึ่งที่โมโหหัวหน้า พอผมเห็นเขาเอาบิลค่าน้ำค่าไฟจากบ้านมาใส่ในตะกร้าเอกสารส่งออก ผมก็เลยเอาไปทิ้งในถังขยะ
ส่วนอีกคนหนึ่งสต้าทรถไม่ติดตอนจะกลับบ้าน 3 วันติดกัน เพราะแบ็ตเตอรี่หมด
พอวันที่สี่เขาเลยต้องล๊อคกุญแจรถ ผมจึงแอบเข้าไปเปิดไฟหน้ารถของเขาไม่ได้อีก
ผมเคยเขียนจดหมายปลอมหลายฉบับ โดยทำเป็นลูกค้าเขียนส่งมาที่หัวหน้าเพื่อยกย่องชมเชยผม แล้วผมก็ได้เป็นพนักงานดีเด่นของเดือน
เสร็จแล้วผมก็รีบไปบอกเพื่อนๆ ว่าผมเป็นคนเขียนจดหมายพวกนั้นเองแหละ
ฮ่าๆ ๆ ถ้าคุณเป็นคนเก่งไม่ได้ คุณก็ต้องเป็นคนดังสิ
บางครั้ง คนเราชอบตั้งคำถามเล่นๆ ใช้เหตุการณ์สมมติ แล้วให้ลองตอบกันดู
เช่น “สมมติว่าคุณเห็นยายแก่คนหนึ่งเพิ่งเบิกเงินประกันสังคมจะเอาไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็น แล้วยายนั่นก็ทำเงินหล่นโดยไม่รู้ตัว
ถ้าคุณเห็น คุณจะทำยังไง”
ผมขอปรับเปลี่ยนคำถามอีกหน่อยดีกว่า
เอาเป็นว่า ยายคนนั้นเป็นย่าของเพื่อนสนิทของผมเองละกัน
และเธอจะต้องอดตายแน่ๆ ถ้าไม่มีเงินก้อนนั้น
สมมติว่าสัก 100 ดอลล่าร์แล้วกัน จะว่าไป คุณยายเธอก็เป็นคนดีทีเดียว และผมก็คงคิดถึงเธอถ้าเธอเป็นอะไรไป
แต่คุณเชื่อมั้ยว่า ถ้าไม่มีใครรู้ว่าเป็นผมเองที่หยิบเงินที่เธอทำหล่นนั้นไป ผมก็มีความสุขได้เป็นปกติ
เอาละ มาถึงว่า คนที่เคยมีจิตใจแบบซาตานอย่างผมอยู่ดีๆ จะเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาได้อย่างไร
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ซึ่งผมจะไม่มีวันลืมเลย
วันนั้น แม่ซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งชื่อ Personality Type เขียนโดย ดอน ริชาร์ด ริโซ
แม่ให้ผมอ่าน 2 บทคือ ผู้จงรักภักดี (คนเบอร์6 : The Loyalist) กับนักปฏิรูป (คนเบอร์ 1: The Reformer) แล้วก็ถามผมว่า คิดว่าแม่เป็นแบบไหน
ผมอ่านดู แล้วก็บอกแม่ว่า แม่เป็นแบบผู้จงรักภักดี
เสร็จแล้วผมก็อ่านต่อเพื่อจะดูว่าตัวเองจะตรงกับคนแบบไหนหรือเปล่า
ผมอ่านบทที่เหลือ โดยเลือกอ่านบทของ บอส (คนเบอร์ 8 : The Boss) ก่อน แต่แค่อ่านหน้าแรก ก็รู้ว่าไม่ใช่แล้ว
ผมจึงพลิกไปพลิกมาอีกครั้ง แล้วตัดสินใจอ่านบทที่ชื่อว่า “นักแสวงหาสถานะ” (คนเบอร์ 3 : The Status Seeker , The Motivator) ทีนี้ผมอ่านรวดเดียวจนจบบท โดยไม่ได้ลุกไปไหนเลย
แล้วผมก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่เมื่อมารู้ว่า เรื่องเลวร้ายทั้งหลายที่ผมก่อขึ้นมาเพื่อโอ้อวดตัวเองนั้น มันเป็นเพียงการดิ้นรนอย่างสุดชีวิตของคนประเภทหนึ่งที่อยู่ในขั้นจิตเสื่อมเท่านั้น
ผมอ่านบทนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกที่มีต่อตัวเองก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ผมเริ่มตระหนักว่า ผมไม่ใช่คนดังหรือคนซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด แต่กลับเป็นคนที่น่าสมเพช
มากที่สุดต่างหาก
ผมนั่งจ้องหนังสือเล่มนั้นเป็นชั่วโมง ผมไม่เคยเชื่อมาก่อนว่า ชีวิตผมที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการเสแสร้งที่ใครๆ ก็มองออก
มันหลอกใครไม่ได้เลย มันเป็นเพียงการแสดงละครที่ตบตาใครไม่ได้เลยจริงๆ
ผมเริ่มเกิดความสำนึกผิดต่อผู้คนที่ถูกทำร้ายจากการกระทำที่บ้าคลั่งและปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของผม
ผมทำร้ายคนจำนวนมากเพียงเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่า ไม่น่าเชื่อว่า นี่เองที่ทำให้ผมรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้
ในนาทีที่ลุกขึ้นยืนนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่คนเดิม
ผมอ่านหนังสือเอ็นเนียแกรมอีกหลายเล่ม และหลังจากได้พยายามพัฒนาตัวเองด้วยวิธีการอื่นๆ ด้วย
ผมบอกได้เลยว่าผมได้เปลี่ยนไปเป็นคนที่ “ดีขึ้น” ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพอสมควร หลายช่วงผมก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ผมพูดได้ว่า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเป็นคนดี
ขอขอบคุณเอ็นเนียแกรม ผมรู้สึกดีมากเลยจริงๆ
ผมไม่รู้ว่ามีวิธีอื่นอีกหรือไม่ที่จะทำให้ผมกลับตัวได้แบบนี้
ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะสามารถโน้มน้าวคนที่เกิดมา ไม่เคยมีความรู้สึกผิดเลย ให้เชื่อว่า ที่จริงแล้ว การมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนั้นเป็นสิ่งที่สุดยอดกว่ามาก
คุณลองจินตนาการดูว่า โอเจ ซิมสันหรือบิล คลินตันจะรู้สึกอย่างไรถ้าเขามีความรู้สึกผิด แต่สำหรับผมซึ่งเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น
ผมเห็นชัดเจนว่ามันเป็นหนทางเดียวที่เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างคนปกติ
เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง: รู้จักคนทั้ง 9 แบบในเอ็นเนียแกรม และตรวจสอบตนเองอย่างคร่าวๆ คลิ้กที่นี่
ที่มา : It Can Just be on Your Conscience, Ted Crowter, Enneagram Monthly, Dec 1998
แปลและเรียบเรียงโดย วาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช